วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

การพัฒนาวิชาชีพครู


การพัฒนาวิชาชีพครู
สภาพปัจจุบันและปัญหาวิชาชีพครูในประเทศไทย

ครู คือ ผู้กำหนดคุณภาพประชากรในสังคม และคุณภาพประชากรในสังคม คือ ตัวพยากรณ์ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม วิชาชีพครูจึงควรเป็นที่รวมของคนเก่ง คนดี สามารถเป็นต้นแบบทางคุณธรรม จริยธรรม การประพฤติปฏิบัติตน การดำรงชีวิต และการชี้นำสังคมไปในทางที่เหมาะสม
จากสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน วิชาชีพครูกลับเป็นวิชาชีพที่คนทั่วไปดูหมิ่นดูแคลน เป็นวิชาชีพที่รายได้ต่ำ ผู้ประกอบวิชาชีพครูยากจน ผู้ปกครองที่มีการศึกษาสูงและมีฐานะดี ไม่ประสงค์จะให้บุตรหลานของตนศึกษาเพื่อออกไปประกอบวิชาชีพครู เยาวชนที่สำเร็จการศึกษาชั้น ม.๖ ก็ไม่ประสงค์ที่จะสมัครเรียนในสาขาวิชาชีพครู ผู้สมัครเรียนในสาขาครูจึงมักเป็นผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ เมื่อไม่สามารถสอบเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพอื่นได้แล้วจึงจะสมัครเรียนเพื่อออกไปเป็นครู
ปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพครูอาจสรุปได้เป็น  กลุ่มใหญ่ ดังนี้
ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการผลิต
สถาบันผลิตครูไม่สามารถผลิตครูให้มีคุณลักษณะตามที่สังคมต้องการได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้การผลิตครูมีประสิทธิผลต่ำอาจสรุปได้ ๕ ประการดังนี้
. คนเก่งไม่เรียนครู เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คนเก่ง ส่วนใหญ่ไม่สนใจเป็นครู จากข้อมูลการเลือกเข้าเรียนต่อของผู้สมัครสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๓๙ ผู้สมัครส่วนใหญ่จะเลือกคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์เป็นอันดับสุดท้าย มีเพียงร้อยละ ๑๙ ที่เลือกคณะครุศาสตร์เป็นอันดับ ๑ และนักศึกษาครู มีผลการเรียนในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ จากข้อมูลเกรดเฉลี่ยในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของนักศึกษาครูในสถาบันราชภัฏ(ซึ่งเป็นสถาบันผลิตครูแหล่งใหญ่) พบว่า มีเกรดเฉลี่ย ประมาณ ๒.๓ (สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, ๒๕๔๐) นอกจากนี้ นักศึกษาครูมักไม่เลือกเรียนวิชาเอกที่เป็นสาขาขาดแคลน เช่น สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์ เพราะต้องใช้ความพยายามในการเรียนสูงกว่าสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์ (สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, ๒๕๔๐)
๑.๒ รัฐลงทุนเพื่อการผลิตครูต่ำ เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการผลิตบัณฑิตสาขาต่าง ๆ มีหลักฐานชัดเจนว่า รัฐลงทุนเพื่อการผลิตครูต่ำกว่าวิชาชีพอื่นๆ มาก (สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, ๒๕๔๐) สถาบันผลิตครูส่วนใหญ่ จึงมีปัญหาความขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นต่อการผลิตครู ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ขาดงบดำเนินการเพื่อพัฒนาคณาจารย์ และพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้ การผลิตครูดำเนินการโดยสถาบันของรัฐทั้งหมด ถึงแม้กฎหมายเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาผลิตครูได้ แต่ยังไม่มีเอกชนรายใดดำเนินการเพราะไม่คุ้มทุน
๑.๓ กระบวนการเรียนการสอนเน้นทฤษฏีมากกว่าเน้นการปฏิบัติจริง ถ้าพิจารณาจากหลักสูตรการผลิตครูจะพบว่าหลักสูตรที่ใช้ในปัจจุบันเป็นหลักสูตรที่กำหนดจากส่วนกลางและผูกติดกับแนวคิดสากลมากกว่าท้องถิ่น เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติจริง เน้นองค์ความรู้มากกว่าวิธีแสวงหาความรู้ วิชาที่สอนเป็นแบบแยกส่วน ขาดความเชื่อมโยงและบูรณาการ มีผลให้ผู้เรียนไม่ได้พัฒนาทักษะและวิธีการมองปัญหาในเชิงองค์รวม กระบวนการเรียนการสอนเพื่อผลิตครูยังเน้นครูเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้มากกว่าการส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ รักที่จะเรียนรู้ อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดผลฝ่ายเดียว ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วม และ ที่สำคัญการจัดการเรียนการสอนขาดการประสานสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของท้องถิ่นและชุมชน ทำให้นักศึกษาครูไม่สามารถเรียนรู้ และพัฒนาวิชาชีพครูให้เหมาะสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตของสภาพแวดล้อม ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ สื่อ นวัตกรรม และแหล่งการเรียนรู้ในสถาบันผลิตครูไม่เอื้อให้นักศึกษาครู แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง การวัดผลและประเมินผลเน้นการสอบวัดเนื้อหาวิชาการมากกว่าการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ชี้นำแนวความคิดและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับการเป็นครูในอนาคต และที่สำคัญ หลักสูตรการผลิตครูไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการผลิตครูรุ่นใหม่ซึ่งต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความพร้อมทั้งความรู้ในเนื้อหาวิชาการ ความสามารถในการชี้นำความรู้ มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และมีคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งสามารถปรับใช้เทคโนโลยีในวิชาชีพได้
๑.๔ ขาดระบบการประกันคุณภาพบัณฑิตครู เนื่องจากคุณภาพของบัณฑิตครูเป็นไปตามเกณฑ์การวัดและประเมินผลของสภาประจำแต่ละสถาบันและไม่มีองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินคุณภาพบัณฑิตของสถาบันต่าง ๆ ฝ่ายผลิตครูเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพการผลิตครูแต่เพียงผู้เดียว การประเมินคุณภาพบัณฑิตเน้นการท่องจำเนื้อหาสาระควบคู่กับระเบียบราชการมากกว่าการวัดคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเป็นครู
๑.๕ ขาดการตรวจสอบคุณภาพการผลิตครูและสถาบันผลิตครู การประกันคุณภาพการผลิตครูและสถาบันผลิตครูเพิ่งเป็นที่ยอมรับ และเริ่มดำเนินการมาไม่นานนัก การดำเนินการในปัจจุบันอยู่ในขั้นการสร้างหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ ในช่วงที่ ผ่านมาจึงไม่มีการดำเนินการประกันคุณภาพการผลิตครูและสถาบันผลิตครูอย่างชัดเจน นอกจากนี้ สถาบันผลิตครูของรัฐมีจำนวนถึง ๑๑๔ แห่ง และอยู่ต่างสังกัดกัน ส่งผลให้สถาบันผลิตครูขาดเอกภาพในนโยบายและมาตรฐานการผลิตครู ประกอบกับการไม่มีหน่วยงานกลางที่มีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานและติดตามประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพการดำเนินงานของสถาบันผลิตครู คุณภาพการผลิตครูจึงแตกต่างกันไปตามเกณฑ์การวัดและประเมินผลของแต่ละสถาบัน
ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการใช้ครู
สาเหตุที่ทำให้การใช้ครูมีประสิทธิผลต่ำอาจสรุปได้ ๔ ประการดังนี้
. ค่าตอบแทนครูต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาชีพอื่นๆ ที่รับผิดชอบต่ออนาคตและความสงบเรียบร้อยของคนในชาติ เป็นต้นว่า อัยการ ตุลาการ แพทย์ และตำรวจแล้ว วิชาชีพครูได้รับค่าตอบแทนต่ำ ผลการสำรวจในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ พบว่ามีครูเพียงร้อยละ ๕๐ ที่สามารถอยู่ได้อย่างประหยัดด้วยเงินเดือนครู (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ๒๕๓๙) จากการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๓๙) พบว่า ๙๕% ของครูไทยเป็นหนี้และภาวะหนี้สินนี้ ส่งผลให้ครูขาดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและมีผลกระทบต่อการเรียนการสอนของตน รวมทั้ง การที่รัฐไม่สามารถปรับ เงินเดือนข้าราชการครูให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ครูส่วนใหญ่มีปัญหาทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากรายได้น้อยแต่ค่าครองชีพสูง ครูบางส่วนต้องหารายได้เพิ่มจากการประกอบอาชีพเสริมต่างๆ ซึ่งบางครั้งเป็นการ เบียดบังเวลางาน และส่งผลให้ครูเอาใจใส่ต่อการเรียนการสอนน้อยลง นอกจากนี้ ครูที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลความเจริญยังต้องเสียสละเงินเดือนบางส่วนเพื่อช่วยเหลือนักเรียนและซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนด้วย (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และกรมการฝึกหัดครู, ๒๕๓๖) วิชาชีพครูจึงไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป แม้กระทั่งผู้ที่เป็นครูหากมีทางเลือกอื่นก็เลือกที่จะไม่ประกอบอาชีพครู
นอกจากนี้การที่ระบบเงินเดือน สวัสดิการ และค่าตอบแทนของครูโดยทั่วไป เป็นระบบเดียวกันไม่มีความแตกต่างระหว่างครูดี ครูเก่ง กับครูเฉื่อยชาขาดความ รับผิดชอบ สภาพเช่นนี้ทำให้ครูดีมีแนวโน้มจะออกจากวิชาชีพมากขึ้น ส่วนครู ที่ยังคงอยู่ในระบบก็ขาดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนและพัฒนางาน ส่งผลให้ผู้สมัครเรียนครูสาขาขาดแคลนซึ่งเรียนยากกว่าสาขาอื่นยิ่งลดน้อยลง เพราะครูทุกสาขาวิชาได้รับ ผลตอบแทนในระบบเดียวกัน
. ระเบียบปฏิบัติไม่เอื้อต่อการพัฒนางานและการพัฒนาตนเอง ครู ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทำให้ครูมีสถานภาพมั่นคง ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเอง ระเบียบ กฎเกณฑ์ การบริหารของระบบราชการสะกัดกั้นเสรีภาพความก้าวหน้าทางวิชาการ และไม่กระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของครู ระบบงบประมาณในปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้ครูและโรงเรียนมีส่วนกำหนดระบบบริหารไม่ยืดหยุ่นให้ครู แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ครูรู้สึกไร้พลังอำนาจการควบคุมงานของตน การบริหารสถานศึกษาใช้ระบบการบังคับบัญชาแบบราชการตามลำดับขั้น หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้มีอำนาจสั่งการเบ็ดเสร็จเป็นระบบอำนาจนิยม ผลคือ สถานศึกษาขาดบรรยากาศของชุมชนวิชาการที่เอื้อต่อการพัฒนาตนเองของครู สภาพการร่วมมือทำงานร่วมกัน รับผิดชอบของครูมีน้อย ส่วนผู้ประกอบอาชีพครูในสถานศึกษาเอกชนก็ขาดความ มั่นคงในวิชาชีพ ขาดความก้าวหน้า ค่าตอบแทนต่ำแต่ภาระงานสูง และขาดอิสระในการปฏิบัติงาน ทำให้พัฒนาตนเองได้น้อย เกิดสภาพขาดขวัญกำลังใจ ท้อแท้ มากกว่าครูของรัฐ
. ขาดระบบการติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิผล การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานของครูในปัจจุบันดำเนินการโดยผู้บังคับบัญชาของครู ซึ่งก็ทำตามนโยบายผู้บังคับบัญชาซึ่งเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ระบบ เกณฑ์ วิธีการและประสิทธิภาพของการประเมินมีความแตกต่างกันไปตามคุณภาพ ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาแต่ละคน ผู้ใกล้ชิด และได้รับผลจากการปฏิบัติงานของครูโดยตรง เช่น ผู้ปกครอง ชุมชน รวมทั้งเพื่อนครูไม่มีส่วนในการประเมินครู และ ผลการประเมินก็ไม่มีความหมายในทางให้คุณให้โทษต่อครูมากนัก ครูที่ได้รับการ คัดเลือกเป็นครูดีเด่นของโรงเรียนก็ไม่เป็นหลักประกันว่าจะได้รับการเลื่อนเงินเดือน ๒ขั้น ดังนั้น ในสภาพความเป็นจริง จึงมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานของครูอย่างจริงจังน้อยมากและยังไม่เป็นที่ยอมรับจากครูโดยทั่วไปเท่าที่ควร ระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล จึงยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาครูและพัฒนาการศึกษา
๒.๔ ชุมชนมีส่วนร่วมในการใช้ครูน้อย ปัจจุบันผู้ใช้ครูมีอำนาจและผูกขาดการคัดเลือก การใช้ การประเมินและพัฒนาครูแต่ฝ่ายเดียว ชุมชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของครูโดยตรง ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
การคัดเลือก บรรจุ แต่งตั้งครู เป็นอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานส่วนกลาง คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู และกรมเจ้าสังกัดครู กรมเจ้าสังกัดบางกรมได้กระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลให้จังหวัดหรือสถานศึกษาในระดับหนึ่ง แต่อำนาจแต่งตั้ง โยกย้ายผู้บริหารสถานศึกษายังเป็นของส่วนกลาง การวิ่งเต้นเอาตำแหน่งโดยอาศัยอำนาจนอกระบบจึงปรากฏให้เห็นเสมอ การที่ท้องถิ่นและชุมชนไม่มีส่วนรับรู้และพิจารณาเลือกสรรบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนในท้องถิ่นของตน ทำให้การจัดการศึกษาในโรงเรียนถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของโรงเรียนหรือรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ชุมชนเป็นเพียงผู้รับบริการและไม่สนใจที่จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน การตรวจสอบ ประเมินผล และให้ความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา การพัฒนาการศึกษาจึงไม่ก้าวไกลเท่าที่ควร
นอกจากนี้ การจัดการศึกษาในปัจจุบัน สถานศึกษาดำเนินการไปตามนโยบาย และแผนจากส่วนกลาง หลักสูตร เนื้อหาสาระในการเรียนการสอนก็มาจากส่วนกลาง ชุมชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ครูเองก็ไม่สนใจที่จะเรียนรู้จากชุมชน และไม่นำเอาวิถีชีวิตในชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ส่งผลให้สถานศึกษาและครูแยกตัวออกจากชุมชน ทำให้ครูสอนในสิ่งที่ไม่สอดคล้องและไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชนได้ นักเรียนเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่ได้ทำงานในชุมชนนั้น ต้องอพยพเคลื่อนย้ายหางานทำที่อื่น ความแข็งแกร่งของชุมชนถูกทำลาย ในส่วนของครูก็ขาดความรู้เกี่ยวกับชุมชน ขาดการพัฒนาตนเอง ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ส่งผลให้ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมเท่าที่ควร
 ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
 สาเหตุที่ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิผลต่ำอาจสรุปได้ ๖ ประการ ดังนี้
๓.๑ ผู้บริหารโรงเรียนมีความรู้และความสามารถทางการบริหารต่ำ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ(๒๕๓๙) พบว่า ผู้บริหารโรงเรียน ส่วนใหญ่มีพื้นความรู้ระดับปริญญาตรีและปฏิบัติราชการโดยเฉลี่ย ประมาณ ๒๐-๓๐ ปี มีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอในการบริหาร ผู้บริหารโรงเรียนบริหารโดยยึดความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ให้ครูมีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียนต่ำ ไม่ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน การประชุมระหว่างผู้บริหารโรงเรียน ครู และผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะการชี้แจงข้อเท็จจริงมากกว่าการแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา ครู ผู้ปกครองและผู้แทนชุมชนจึงแทบไม่มีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียน ขวัญและกำลังใจของครูส่วนใหญ่จึงอยู่ในระดับต่ำ
. ผู้บริหารโรงเรียนไม่สนใจพัฒนาตนเอง เป็นที่ทราบและยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เส้นทางการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนขึ้นกับอำนาจสั่งการของนักการเมือง ดังนั้น แทนที่ผู้บริหารจะสนใจพัฒนาตนเองเพื่อให้การบริหารงานโรงเรียนเป็นไปเพื่อสร้างขวัญ กำลังใจกับครูในโรงเรียน หรือเพื่อพัฒนาครูและการศึกษาในโรงเรียน ผู้บริหารกลับเสียเวลาไปกับการประจบหรือทำงานให้นักการเมือง ความใส่ใจในการพัฒนาตนเองเพื่อบริหารงานในหน้าที่รับผิดชอบจึงมีน้อย และมิได้เป็นไปเพื่อการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาและบริการทางการศึกษาของโรงเรียนอย่างแท้จริง
. ขาดระบบการตรวจสอบและประเมินผลผู้บริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ปัญหาด้านการประเมินผลที่ผู้บริหารประสบมีลักษณะคล้ายกันกับปัญหาของครู ผู้บริหารส่วนใหญ่มีความคิดว่าการตรวจสอบและประเมิน คือ การจับผิด การตรวจสอบและประเมินผู้บริหารโรงเรียนจึงดำเนินการเฉพาะกรณีที่มีความผิดชัดเจน หรือเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การประเมินเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานมีค่อนข้างจำกัด การปรับปรุงและพัฒนางานอย่างเป็นระบบในโรงเรียนจึง ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
. ผู้ปกครอง ชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียนต่ำ เนื่องจากอำนาจรัฐเข้าไปมีบทบาทในการบริหารการศึกษา และบริหารงานบุคคลในโรงเรียนค่อนข้างสูง ทั้งทำหน้าที่กำหนดบทบาทของการบริหาร และผู้ทำหน้าที่ในการบริหารโรงเรียน โดยมิได้กระจายอำนาจในส่วนนี้ให้แก่ชุมชน ส่งผลให้ผู้ปกครอง ชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียนต่ำ สิ่งที่ชุมชนจะรับรู้เกี่ยวกับการบริหารโรงเรียนอย่างมากที่สุด คือ การรับทราบนโยบายของโรงเรียน หรือมีส่วนร่วมโดยให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือโรงเรียนตามความต้องการของโรงเรียนเท่านั้น
. ขาดทรัพยากรเพื่อการบริหารโรงเรียน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐเป็นฝ่ายเดียวที่สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการบริหารโรงเรียน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนโรงเรียน และจำนวนครูกว่าหกแสนคนที่มีอยู่งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้เกือบทั้งหมด จึงเป็น งบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของครู งบประมาณเพื่อการบริหารโรงเรียนโดยเฉพาะเพื่อให้โรงเรียนได้พัฒนาบุคลากรมีน้อยมาก นอกจากได้รับงบประมาณจากรัฐไม่เพียงพอแล้ว ในสภาพปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ประสานงานเพื่อแสวงหาความร่วมมือในการระดมทรัพยากร ความเชี่ยวชาญจากชุมชน เอกชน เพื่อการบริหาร เป็นผลให้ครูในโรงเรียนไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และการบริหารงานในโรงเรียนก็ไม่สามารถก้าวทันกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าจะนำมาใช้เพื่อการบริหารจัดการ
.๖ ขาดสถาบันพัฒนาผู้บริหารโรงเรียนระดับมืออาชีพ ปัจจุบันมีสถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนา ผู้บริหารได้จำนวนจำกัด หลักสูตรฝึกอบรม ผู้บริหารโรงเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่เข้มข้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้บริหารกลายเป็นผู้บริหารมืออาชีพได้
เพื่อผ่อนคลายปัญหาข้างต้น โรงเรียนและหน่วยงานทางการศึกษาได้ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย กำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหาไปแล้วระดับหนึ่ง ตัวอย่างของผลการศึกษา วิจัย และแนวทางการแก้ปัญหาที่กำลังดำเนินการอยู่ และที่กำลังจะดำเนินการในอนาคต
 การแก้ปัญหาวิชาชีพครูในประเทศไทย
          รัฐบาลได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อการแก้ปัญหาวิชาชีพครู ที่ปรากฏเห็นเด่นชัด อาจดูได้จากกฎหมาย นโยบาย และแนวทางการดำเนินงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
๑.      กฎหมายเกี่ยวกับวิชาชีพครู
๒.      นโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับวิชาชีพครู
๓.      แผนพัฒนาการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู
๔.      การปรับปรุงโครงสร้างและบทบาทองค์กรวิชาชีพครู
๑.กฎหมายเกี่ยวกับวิชาชีพครูที่สำคัญและใช้อยู่ในปัจจุบันมี ๒ ฉบับ คือ
          ๑.๑ พระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘
พระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ กำหนดให้มีคุรุสภาในกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา ประกอบด้วย
๑.      รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน
๒.      ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นรองประธาน
๓.      อธิบดีและหัสหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมในกระทรวงศึกษาธิการทุกกรมเป็นกรรมการ
๔.      ผู้แทนข้าราชการครูจำนวน ๖ คน เป็นกรรมการ
๕.      ผู้แทนพนักงานครูเทศบาล ๑ คน เป็นกรรมการ
๖.      ผู้แทนครู กทม. ๑ คน เป็นกรรมการ
๗.      ผู้แทนครูโรงเรียนเอกชน ๒ คน เป็นกรรมการ
๘.      เลขาธิการคุรุสภาเป็นกรรมการและเลขานุการ
เพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้กำหนดให้คุรุสภาซึ่งทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
๑. ให้ความเห็นแก่กระทรวงศึกษาธิการในเรื่องการจัดการศึกษาโดยทั่วไป หลักสูตร แบบเรียน อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน การฝึกอบรม การวัดและประเมินผลการศึกษา การนิเทศการศึกษา และเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการจัดการศึกษา
๒. ควบคุมและสอดส่องจรรยา มรรยาท และวินัยของครู พิจารณาโทษครูผู้ประพฤติผิด และพิจารณาคำร้องทุกข์ของครู
๓. พิทักษ์สิทธิ์ของครูภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
๔. ส่งเสริมให้ครูได้รับสวัสดิการต่างๆตามสมควร
๕. พัฒนาความรู้ ความสามารถ และประสิทธิภาพของครู
ด้วยเหตุที่คุรุสภาได้รับงบประมาณจากรัฐบาลค่อนข้างจำกัด การดำเนินงานที่ผ่านมาต้องอาศัยเงินรายได้จากการประกอบธุรกิจขององค์การค้าคุรุสภา (ศึกษาภัณฑ์) ทำให้คนส่วนใหญ่รู้จักธุรกิจขององค์การค้าคุรุสภามากกว่ารู้จักคุรุสภา มีผลทำให้คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาใส่ใจกับการหารายได้ให้กับคุรุสภามากกว่าการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพครู ซึ่งเป็นภารกิจหลักของคุรุสภาและของคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา
นอกจากนั้นองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการและวิธีการได้มาซึ่งกรรมการก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการปฏิบัติภารกิจพัฒนาวิชาชีพครูของคุรุสภา กรรมการโดยตำแหน่งประกอบด้วย ข้าราชการระดับสูงของแต่ละกรม ซึ่งต่างมีภารกิจประจำค่อนข้างรัดตัว จึงยากที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะอุทิศตนให้กับการคิดหามาตรการ แนวทางที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหา ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะติดตาม ประเมินผลการนำมาตรการ แนวทางไปใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพครู เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างแท้จริง
หลายคนคาดหวังว่ากรรมการอำนวยการคุรุสภาจากผู้แทนครูสังกัดหน่วยงานต่างๆ จะทำหน้าที่ผู้นำในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครู แต่ที่ผ่านมา ผู้แทนครุที่มาจากการเลือกตั้งมักจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่เข้ามาเพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ความร่วมมือและการสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ ทั้งจากครู ผู้ปกครอง และบุคคลในวิชาชีพอื่น ในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาวิชชาชีพครูอย่างแท้จริงจึงมีไม่มากนัก
๑.๒ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู กำหนดให้มีคณะกรรมการข้าราชการครู ทำหน้าที่บริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยเฉพาะคณะกรรมการข้าราชการครู ประกอบด้วย
๑.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน
๒.เลขาธิการ ก.พ.  เป็นกรรมการ
๓.เลขาธิการคุรุสภาเป็นกรรมการ
๔.ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่ง ค.ร.ม. แต่งตั้งจาก บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งข้าราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเคยรับราชการตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี จำนวน ๕ คน โดยในจำนวนนี้ต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่า ๓ คนเป็นกรรมการ
๕.ผู้แทนข้าราชการครู จำนวน ๗ คนเป็นกรรมการ
๖.เลขาธิการ ก.ค. เป็นกรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการข้าราชการครู อาจเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมการ
คณะกรรมการข้าราชการครูมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
๑. เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีเกี่ยวกับ นโยบายการบริหารงานบุคคล และการจัดระบบราชการในหน่วยงานทางการศึกษา
๒.ออกกฎ ก.ค. และระเบียบเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ กฎ ก.ค. เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
๓. ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ มติของ ก.ค. เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับได้
๔. ควบคุม ดูแล ตรวจสอบ แนะนำ ชี้แจง เพื่อให้หน่วยงานทางการศึกษาและกรมปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ในการนี้ให้มีอำนาจเรียกเอกสารและหลักฐานจากหน่วยงานทางการศึกษาและกรม ให้ผู้แทนหน่วยงานทางกราศึกษาและกรม ข้าราชการหรือบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง และให้มีอำนาจระเบียบให้หน่วยงานทางการศึกษาและกรมรายงานเกี่ยวกับการสอบ การบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน การดำเนินการทางวินัย และการออกจากราชการ ตลอดจนรายงานการเปลี่ยนแปลงในลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งและเกี่ยวกับทะเบียนประวัติของข้าราชการครูไปยัง ก.ค.
๕.รายงานนายกรัฐมนตรีในกรณีที่ปรากฏว่า หน่วยงานทางการศึกษา กรม อ.กค.กรม หรือ อ.ก.ค. จังหวัดใด หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติการโดยไม่เหมาะสม เพื่อนายกรัฐมนตรีจะได้สั่งการต่อไป
๖. รักษาทะเบียนประวัติข้าราชการครู
๗.รับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครู และกำหนดอัตราเงินเดือนที่ควรได้รับ โดยคำนึงถึงอัตราเงินเดือนตามที่คณะกรรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดสำหรับปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพเดียวกัน
๘. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
๙. ปฏิบัติการอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ และกฎหมายอื่น
          ด้วยเหตุที่พระราชบัญญัติข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ กำหนดให้ ก.ค. ทำหน้าที่ทุกอย่างเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู มีจำนวนประมาณ ๕ แสนกว่าคน แต่บุคคลากรและงบประมาณของสำนักงาน ก.ค. มีจำนวนจำกัด จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจ ตามที่กฎหมายบัญญัติของ ก.ค. ไม่มีประสิทธิผล ข้าราชการครูมักเบื่อหน่ายกับความล่าช้า ในการดำเนินงานและสั่งการในเรื่องต่างๆ หน่ายคนเบื่อหน่ายกับการรวบอำนาจและลงลึกในรายละเอียด ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ค. หลายคนเห็นว่า หน้าที่หลายอย่างของ ก.ค. ควรจะได้มีการกระจายอำนาจให้กรม หรือสถานศึกษาเป็นผู้ตัดสิน แต่ ก.ค. ก็ยังรวบอำนาจเอาไว้อยู่ นอกจากนั้น หน้าที่บางอย่างเป็นต้นว่า การรักษาทะเบียนประวัติครู การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ก็ไม่ควรเป็นหน้าที่ของ ก.ค. ต่อไป แต่ ก.ค. ควรมอบหน้าที่ดังกล่าวให้กับกรมต่างๆทำหน้าที่แทน การที่กฎหมายกำหนดภารกิจให้ ก.ค. ต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูผ่านสำนักงาน ก.ค. ซึ่งตั้งอยู่ที่ส่วนกลาง มีผลทำให้การบริหารงานบุคลผูกติดกับรายงานที่อยู่ในรูปเอกสาร ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับความเป็นจริงได้
          นอกจากนั้น การที่กฎหมายบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ก.ค. โดยตำแหน่ง แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจอื่นค่อนข้างมาก การนัดเวลาประชุมในเรื่องสำคัญต้องเลื่อนตามตารางปฏิบัติภารกิจเฉพาะหน้าของรัฐมนตรี ทำให้ฝ่ายเลขานุการกำหนดตารางประชุมล่วงหน้าลำบาก บ่อยครั้งการประชุมนัดสำคัญต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนด เพราะต้องรอนัดหมายจากรัฐมนตรี
          ด้วยเหตุที่กรรมการ ก.ค. ประกอบด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นส่วนใหญ่ นโยบายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและความปรารถนาของตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นสำคัญ กรรมกาสร ก.ค. จากผู้แทนครูไม่เห็นด้วยกับความเห็นของรัฐมนตรีในหลายๆเรื่อง แต่โดยวัฒนธรรมของคนไทยแล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะทำให้ข้าราชการครู ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล้าเสนอความเห็นขัดแย้งและท้าทายความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
          แม้ว่าการติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานข้าราชการครูเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของงานบริหารงานบุคคล แต่ในทางปฏิบัติการประเมินผลการปฏิบัติงานข้าราชการครูมักกระทำเฉพาะในช่วงของเงินเดือนเพิ่มประจำปีให้แก่ข้าราชการครู ซึ่งมักจะถูกครูทั่วไปตำหนิเสมอว่า “ไม่เป็นธรรม เล่นพรรคเล่นพวก” และไม่สัมพันธ์กับความสามารถทางการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆของผู้เรียน นักเรียนและผู้ปกครองไม่มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของครู รายงานการประเมินผลจึงมักขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ครูใหญ่ หรือผู้อำนวยการโรงเรียนเสนอเป็นหลัก ครูส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกว่าความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ขึ้นอยู่กับผลการประเมินของผู้บริหารโรงเรียนมากกว่าความสามารถในการเรียนของผู้เรียน
          พระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ มีเจตนาต้องการให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ต้องการเห็นผู้ประกอบวิชาชีพครูมีความขยันอดทน เสียสละ ตั้งใจ อบรมสั่งสอน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และเป็นแบบฉบับที่ดีให้แก่ศิษย์ ทั้งนี้ดังจะเห็นได้จากจรรยาบรรณครูทั้ง ๑๑ ข้อที่ประกาศใช้ภายใต้บทบัญญัติพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ และวินัยข้าราชการครูที่ปรากฏในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓
          ในส่วนของการดำเนินการเพื่อการออกใบประกอบวิชาชีพครูนั้น พบว่า คุรุสภาซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพครูตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ มีความพยามในการดำเนินการเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยมีการดำเนินการยกร่างแก้ไข ปรับปรุงบทบัญญัติของพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ ให้เอื้อต่อการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูถึง ๕ ครั้ง คือ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ พ.ศ. ๒๕๓๑ พ.ศ. ๒๕๓๔ พ.ศ. ๒๕๓๕ และ พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่เมื่อนำร่างแก้ไขเข้าไปพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ก็มีกลไกทางการเมืองในการยุบสภาทุกครั้ง จึงยังไม่ได้รับการพิจารณา (เอกสารประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เรื่องการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู)
          อย่างไรก็ตาม สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันข้าราชการครูเป็นจำนวนมากไม่ใส่ใจกับจรรยาบรรณและวินัยข้าราชการครู มีการฝ่าฝืนวินัยและปฏิบัติตนผิดจรรยาบรรณครูให้เห็นอยู่บ่อยๆ มาตรการป้องกันการฝ่าฝืนวินัย จรรยาบรรณ และมาตรการลงโทษที่มีประสิทธิผลกว่าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเช่น  การบังคับให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูต้องมีใบอนุญาตประกอบการสอนจึงควรได้รับการพัฒนา และนำมาใช้ในโอกาสต่อไป
          ๒. นโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูของไทย
          การให้ความสำคัญแก่วิชาชีพครูได้ปรากฏในนโยบายรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย ที่เห็นได้ชัด ได้แก่ นโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาและสังคมของรัฐบาลในอดีตจนถึงปัจจุบันที่สำคัญ เช่น
          รัฐบาลนายอานนท์ ปันยารชุน (๒๕๓๔) มองเห็นความสำคัญของการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพครูโดยได้กำหนดนโยบายส่วนนี้ว่า
          วางมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาจารย์ที่มีคุณภาพโดยเฉพาะในสาขาวิชาที่มีความต้องการสูง
          รัฐบาลนายชวน หลีกภัย (๒๕๓๕) กำหนดนโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูว่า
          จะพัฒนามาตรฐานวิชาชีพครูและมาตรฐานบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นวิชาชีพอย่างแท้จริง โดยการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้ตลอดจนการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาทุกระดับ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและความภาคภูมิใจในอาชีพ
          รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา (๒๕๓๘) กำหนดนโยบายด้านการผลิตและการพัฒนาครูไว้โดยเฉพาะดังนี้
๑)ปฏิรูปการผลิตครูและพัฒนาครูประจำการอย่างเป็นระบบ และเสริมสร้างเครือข่ายทั่วประเทศ โดยเร่งพัฒนาครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลนเป็นลำดับแรก และเร่งพัฒนาในด้านคุณธรรมและจริยธรรม
๒)ดำเนินการด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมขวัญกำลังใจ และความมั่นคงให้กับครู และพัฒนาองค์กรวิชาชีพครูในสาขาวิชาต่างๆในท้องถิ่น รวมทั้งพัฒนากองทุน    กาญจนาภิเษก และระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อจัดตั้งกองทุนสำหรับให้ครูกู้โดยจ่ายดอกเบี้ยต่ำเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพครู
รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (๒๕๓๙) ประกาศว่า
รัฐจะยกระดับคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งเร่งรัดการแก้ปัญหาหนี้สินครู
และล่าสุด รัฐบาลนายชวน หลีกภัย (๒๕๔๐) ได้ประกาศแนวทางในการประกอบวิชาชีพครูว่า
จะเร่งพัฒนาวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับเพื่อให้ครูได้ทำงานอย่างมีเกียรติ โดยปฏิรูปกระบวนการผลิตครู และการพัฒนาครูเน้นการผลิตในสาขาขาดแคลน ตลอดจนสร้างเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการยกย่องให้รางวัลครุที่ดีและเก่ง มีความก้าวหน้าในอาชีพ โดยส่งเสริมสวัสดิการของครู
จากนโยบายของหลายรัฐบาลที่กล่าวถึงข้างต้น ย่อมบ่งบอกให้พวกเราทั้งหลายทราบว่า ปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพครูเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาช้านานรัฐบาลในอดีตทุกรัฐบาลรับทราบและตระหนักในปัญหาได้พยายามมองหาแนวทางและมาตรการเพื่อการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลเห็นความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องระดมทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ทั้งในท้องถิ่นและสากลมาร่วมแก้ปัญหา
ด้วยเหตุที่รับบาลที่ผ่านมามีเวลาในการบริหารประเทศค่อนข้างสั้น และไม่ต่อเนื่อง นโยบายที่ประกาศออกไปจึงขาดการนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผล เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแต่ละครั้ง รัฐบาลจึงต้องเริ่มต้นร่างนโยบายใหม่อยู่เสมอ ส่วนนโยบายเก่ามักจะถูกเก็บไว้ก่อน ไม่นำมาสานต่อ ความตั้งใจในการแก้ปัญหาวิชาชีพครูของแทบทุกรัฐบาลในอดีตจึงไม่ประสบความสำเร็จ
หลังจากการประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ บทบัญญัติมาตรา ๘๑ แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ระบุว่า
มาตรา ๘๑ รัฐต้องจัดการศึกษา อบรม และสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมสร้างเสริมความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่างๆ เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ และวัฒธรรมของชาติ
จากมาตรา ๘๑ ที่บัญญัติให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ และยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กฎหมายการศึกษาแห่งชาติต้องบัญญัติให้ฝ่ายบริหารเร่งรัด ดำเนินการให้มีการพัฒนาวิชาชีพครู การกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการผลิต การพัฒนาการใช้ การส่งเสริม และการสนับสนุนครูจึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่ประกาศใช้นี้
การมีกฎหมายการศึกษาและมีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพครูไว้โดยเฉพาะ ย่อมเป็นหลักประกันพัฒนาวิชาชีพครูให้เกิดความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครุที่ยั่งยืนและถาวร และเป็นที่หวังว่ากฎหมายการศึกษาที่จะประกาศใช้ในเร็ววันนี้จะทำให้ประเทศไทยมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการพัฒนาวิชาชีพครู
๓. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู
๓.๑ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) เน้นความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพครู ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การใช้ และการส่งเสริมพัฒนาครู โดยได้กำหนดเป็นนโยบายไว้ดังนี้
๑) สร้างปัจจัยและโอกาสให้คนดี คนเก่งเข้าสู่วิชาชีพครูอาจารย์ เช่น การปรับปรุงระบบการคัดเลือกผู้รับทุน การปรับปรุงระบบตำแหน่ง การเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถอย่างอิสระ ควบคู่กับการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนและเนื้อหาสาระ ให้ครูอาจารย์เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีการทดลองปฏิบัติจริงมากขึ้น
๒) เร่งรัดให้มีการพัฒนาครูอาจารย์และบุคลากร โดยฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งพัฒนาให้สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพในการแบ่งเบาภาระ และสนับสนุนการปฏิบัติงาน
๓) สร้างจิตสำนึกและส่งเสริมขวัญกำลังใจในการทำงานของครู อาจารย์ โดยการสร้างทางเลือกและความก้าวหน้าในวิชาชีพที่เปิดกว้างหลากหลาย ให้การยกย่องเกียรติคุณ ตลอดจนการประเมินการสอนเพื่อนำไปประกอบการส่งเสริมความก้าวหน้าและสวัสดิการต่างๆ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ เน้นว่าคนต้องเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ถ้าเราพัฒนาคนได้สำเร็จ การพัฒนาด้านอื่นๆก็จะเกิดขึ้นตามมา หรืออาจกล่าวในอีกทำนองหนึ่งได้ว่า การพัฒนาทุกอย่างจะสำเร็จ ถ้าคนได้รับการพัฒนาและนำความรู้ ทักษะ ความคิด และประสบการณ์ที่ได้รับจากการพัฒนาไปแก้ไข และพัฒนาความรู้ใหม่ขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง การพัฒนาคนจะสำเร็จไม่ได้ถ้าครูและวิชาชีพครูไม่ได้รับการพัฒนาและยกย่อง
๓.๒ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อเป็นกอบและแนวทางในการพัฒนาวิชาชีพครู แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับครูและบุคคลากรทางการศึกษา ปฏิรูปการฝึกหัดครู และการพัฒนาครูประจำการ โดยมุ่งให้เป็นการพัฒนาวิชาชีพเฉพาะ เพื่อสร้างจิตสำนึกของความเป็นครู พัฒนาความรู้ความสามารถทั้งทางวิชาชีพครูและวิชาการให้ได้มาตรฐานและยกฐานะวิชาชีพครูให้สูงขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้แนวนโยบายดังกล่าวบรรลุผล จึงได้กำหนดแนวทางในการพัฒนาวิชาชีพครูทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิต การใช้ การพัฒนา และส่งเสริมครู และวิชาชีพครูไว้ดังนี้
๑)พัฒนาระบบการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาวิชาชีพครู เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความสนใจ ความถนัด และความตั้งใจจริง มาเรียนครูและประกอบอาชีพครู พร้อมทั้งสนับสนุน ส่งเสริม ให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพอื่นมาประกอบอาชีพครู โดยให้ได้รับการฝึกอบรมวิชาชีพครูเพิ่มเติมก่อนประจำการ
๒)พัฒนากระบวนการฝึกหัดครู การอบรม พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเน้นให้มีการฝึกปฏิบัติและการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรม ความสามารถในการสอนและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การแสวงหาความรู้และการเรียนรู้ด้วยตนเอง การริเริ่มสร้างสรรค์ การสร้าง การประยุกต์ และใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา ตลอดจนการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของชุมชน การฟื้นฟู การอนุรักษ์ และเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศ
๓)ส่งเสริมให้ครุมีบทบาทเป็นผู้นำทางความคิด และเป็นผู้ประสานความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน ตลอดจนประสานแหล่งความรู้ วิทยาการสากลกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนและกระจายความรู้อย่างกว้างขวาง
๔) จัดอัตรากำลังของหน่วยงานทางการศึกษาต่างๆให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพื่อให้การใช้ครูและบุคลากรทางการศึกษาของแต่ละหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๕) พัฒนาระบบการบริหารงานบุคคลของครูให้เหมาะสมกับวิชาชีพ พร้อมทั้งให้มีการกำหนดระเบียบและวิธีการ เพื่อยกฐานะอาชีพครู
๖) จัดให้มีการกำกับดูแลคุณภาพ มาตรฐาน และการปฏิบัติวิชาชีพตามจรรยาวิชาชีพครู โดยการพัฒนาองค์กรวิชาชีพให้เข้มแข็งและให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูที่มีกฎหมายรองรับ
๓.๓ แผนหลักการปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (มติ ค.ร.ม. ๕ มีนาคม ๒๕๓๙) เพื่อให้การปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครูประจำการ และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู มีเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน จึงได้กำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงใน ๕ ประเด็นหลัก คือ
๑. การสรรหาคนเข้าเรียนวิชาชีพครู
๒. การพัฒนาคณาจารย์ทางคุรุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
๓. การปฏิรูปการเรียนการสอนในสถาบันฝึกหัดครู
๔. การพัฒนาครูประจำการ
๕. การจัดตั้งราชวิทยาลัยคุรุศาสตร์
เพื่อให้แผนหลักการปฏิรูปการฝึกหัดครูฯสามารถดำเนินการไปได้สำเร็จนั้น รัฐบาลต้องแสดงเจตจำนงทางการเมือง ให้ปรากฏแก่สาธารณชน ในอันที่จะให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการสนับสนุนด้านงบประมาณที่คล่องตัวและเพียงพอ รวมทั้งการอนุมัติจัดตั้งโครงการพิเศษเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (สปค.)
๓.๔ แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) เพื่อให้การพัฒนาวิชาชีพครูมีความต่อเนื่อง และเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพครู แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ กำหนดแนวทางการพัฒนาวิชาชีพครูทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิต การใช้ การพัฒนา ส่งเสริมครูและวิชาชีพครูเพิ่มเติมต่อเนื่องจากแผนหลักการปฏิรูปการฝึกหัด  ครูฯดังนี้
๑) เพิ่มทุนการศึกษาในโครงการพิเศษต่างๆ ให้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ ๕๐ ของจำนวนครู อาจารย์ที่เกษียณอายุในแต่ละปี
๒)เพิ่มปริมาณการผลิตครู อาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เพียงพอกับความต้องการ และมีการรับผู้สำเร็จอาชีวะศึกษาเข้ามาเรียนวิชาชีพครูให้มากขึ้น
๓) มีการพัฒนาครูประจำการอย่างต่อเนื่อง โดยครูทุกคนต้องได้รับการพัฒนาตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ครู อย่างน้อยในทุกๆ ๕ ปี
๔) สนับสนุนและให้ทุนการศึกษาดูงานแก่ครูชั่ง เพื่อเพิ่มความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง
๕) มีการปรับปรุงระบบสรรหาคนเข้าเรียนวิชาชีพครู ระบบตำแหน่ง และการประเมินผลบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งครู
๖)  มีการจัดสวัสดิการให้ครูในรูปแบบต่างๆเพื่อให้ครูสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
เพื่อให้การนำนโยบายในแผนการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) ไปปฏิบัติให้บังเกิดผล คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้เสนอมาตรการเพื่อการพัฒนาวิชาชีพครูดังนี้
๑. ปรับระบบการผลิตครูโดยสรรหาคนเก่งและดีเข้าเรียนวิชาชีพครู ปฏิรูปการเรียนการสอนในการผลิตครู เพื่อผลิตครูที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ และเร่งรัดการผลิตครูสาขาที่ขาดแคลนให้เพียงพอ
๒. อบรมและพัฒนาครูประจำการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเร่งปรับระบบการพัฒนาผู้บริหารการศึกษาให้มีความสามารถในการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
๓. ปรับปรุงระบบการบริหารบุคลากรและระบบสวัสดิการ โดยปรับปรุงแก้ไข กฎ ระเบียบการบริหารงานบุคลากรเพื่อสนับสนุนครูเก่งและดี และปรับปรุงระบบสวัสดิการในสถาบันทางการศึกษาทุกระดับให้เหมาะสม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และความภาคภูมิใจในอาชีพแก่ครูฯลฯ
          ๓.๕ แนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๕๐)
          เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล และสอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนพัฒนาการศึกษา กระทรวงศึกษาการได้กำหนดแนวทางการปฏิรูปครูไว้ดังนี้
       ๑. สร้างจิตสำนึกในความรับผิดชอบของครู ผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาให้มุ่งมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง
         ๒. ในการประเมินความก้าวหน้าของครู ให้มุ่งเน้นที่การวัดประสิทธิภาพของผลการปฏิบัติงานโดยเฉพาะคุณภาพการเรียนของผู้เรียน
          ๓. ให้ครูทุกคนได้เพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะในรูปแบบต่างๆอย่างต่อเนื่องทั่วถึง และทันต่อการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนให้ครูทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนควบคู่กันไปกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี โดยในทุก ๒ ปี ต้องผ่านการอบรมอย่างน้อย ๑ ครั้ง ทั้งการอบรมของกระทรวงศึกษาธิการและกรมต้นสังกัด และการอบรมของสถาบันอื่นๆทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีวุฒิบัตรรับรอง ตลอดจนการอบรมทางไกล การเข้าประชุมสัมมนา และการพัฒนาตนเองในรูปแบบต่างๆ ให้ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่และให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของผลการปฏิบัติงานของครูด้วย
          ๔. ให้ครูเลือกแผนการสอนหรือพัฒนาให้เหมาะสมกับผู้เรียนเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนสามารถสร้างและพัฒนาความรู้ได้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง
          ๕. ให้ครูที่สังกัดส่วนราชการต่างๆในกระทรวงศึกษาธิการสามารถทำการสอนในสถานศึกษา ทั้งในและนอกสังกัดได้มากกว่า ๑ แห่ง ทั้งนี้โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชา ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ และให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของผลงานของครู ในการบรรจุครูใหม่ให้นำประสบการณ์ของครูมาพิจารณาประกอบการกำหนดเงินเดือนด้วย
          ๖. กำหนดคุณสมบัติและเปิดโอกาสให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ครูชาวบ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน และส่วนราชการต่างๆรวมทั้งผู้เกษียณอายุราชการมาสอนในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีค่าตอบแทนให้ตามความเหมาะสม
          ๗. แก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู โดยการบรรจุแต่งตั้งครูให้ครบทุกตำแหน่ง ตามแผนอัตรากำลังของแต่ละสถานศึกษา การเกลี่ยอัตรากำลังครู และการลดจำนวนครูช่วยราชการให้คงเหลือน้อยที่สุด สำหรับครูผู้สอนวิชาขาดแคลนให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ อีกทั้งสนับสนุนให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่มีความพร้อมในการเปิดสอนสาขาวิชาขาดแคลน จัดสอนได้ถึงระดับปริญญาตรี
          ๘. รื้อปรับระบบการกำหนดตำแหน่งครุในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจำแนกความก้าวหน้าในสายงาน ระหว่างครูกับผู้บริหารสถานศึกษาให้มีสายวิชาชีพที่ชัดเจน แต่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันได้ โดยเฉพาะครูสามารถก้าวหน้าตามสายงานการสอนในระดับตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ด้วยผลงานของตัวเอง ทั้งนี้กำหนดให้มีคู่มือปฎิบัติงานของครูและคู่มือปฎิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา
          ๙. กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู โดยให้คุรุสภา คณะกรรมการ ข้าราชการครู และสถาบันผลิตครู ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและให้มีมาตรการพัฒนาวิชาชีพ โดยการกำหนดให้มีใบประกอบวิชาชีพครู
          ๑๐. ปฏิรูประบบสวัสดิการและประโยชน์เกื้อกูลของครูทุกประเภท ทุกสังกัด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของครู ส่งเสริมขวัญกำลังใจและความมั่นคงในอาชีพให้กับครู รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆของครู โดยมุ่งส่งเสริมสนับสนุนแก่ครูที่สอนในถิ่นทุรกันดารครูที่สอนหลายชั้นเป็นพิเศษ
          ๑๑. พัฒนาระบบและกลไกในการเลือกสรรบุคคลเข้าเรียนในสถาบันผลิตครู พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนในการผลิตครู ทั้งที่ครูสอนหลายวิชา และครูเฉพาะวิชาที่เน้นการปฏิบัติ เพื่อให้ได้ครูที่มีความรู้ความสามารถในเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งให้มีการปรับปรุงวิธีการสอบคัดเลือก และการบรรจุครูประจำการ โดยให้สถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ทั้งนี้ไม่ควรบรรจุครูที่มาจากสถานศึกษาเอกชนระหว่างปีการศึกษา
          ๑๒. เร่งรัดการพัฒนานักบริหารลอดจนทักษะในการบริหาร และการจัดการ เพื่อให้สามารถพัฒนาโรงเรียนและสถานศึกษาให้มีคุณภาพ ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
          ๑๓. ให้ศึกษานิเทศก์ทุกสังกัดผนึกกำลังทำงานร่วมกันโดยการนิเทศ ติดตามงานวิชาการในสถานศึกษาทุกสังกัด
          จะเห็นได้ว่า แผนการพัฒนาสำคัญที่กำหนดทิศทางการดำเนินงานในระดับชาติดังกล่าวถึงความสำคัญในการพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อพัฒนากำลังคนของชาติ ทั้งทางด้านการพัฒนาระบบและกลไกในการเลือกสรรบุคคลเข้าเรียนครู การพัฒนากระบวนการฝึกหัดครู การสร้างจิตสำนึกให้ครูมีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง การส่งเสริมขวัญกำลังใจและความมั่นคงในการประกอบอาชีพครู การส่งเสริมให้ครูมีบทบาทเป็นผู้นำทางความคิดและประสานความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน การส่งเสริมให้ครูเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องทั่วถึงและทันการณ์ รวมทั้งการส่งเสริมให้ครูมีใบประกอบวิชาชีพและมีระบบการกำกับ ดูแลคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพครู
๔.     โครงการพิเศษเพื่อการปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (สปค.)
คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๙ อนุมัติให้มีการจัดตั้งโครงการพิเศษเพื่อบริหารจัดการการปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา (สปค.) โดยให้เป็นหน่วยงานอิสระ ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการปฏิรูปการฝึกหัดครูฯ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ๕ ประเด็นหลักคือ
๑.      การสรรหาคนเข้าเรียนวิชาชีพครู
๒.      การพัฒนาคณาจารย์ทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
๓.      การปฏิรูปการเรียนการสอนในสถาบันฝักหัดครู
๔.      การพัฒนาครูประจำการ
๕. การจัดตั้งราชวิทยาลัยครุศาสตร์ เพื่อให้แนวทางการปฏิรูปการฝึกหัดครูสามารถดำเนินการไปได้โดยต่อเนื่อง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ จึงได้จัดตั้ง สปค. ขึ้นเป็นองค์กรภายในของ สำนักงานคระกรรมการการศึกษาแห่งชาติที่รับผิดชอบการนำแผนหลักการปฏิรูปการฝึกหัดครูฯ สู่การปฏิบัติ โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ได้ครูดีครูเก่งที่เป็นครูเพื่อเด็ก ครูผู้ชี้แนวทางแห่งการเรียนรู้แก่ผู้เรียนและสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้จะพัฒนากระบวนการผลิตและการพัฒนาครู/อาจารย์ ตลอดจนผู้บริหารการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน การดำเนินงานจะมุ่งเป้าหมายต่อไปนี้
ก. สร้างอาชีพครู/อาจารย์เพื่อดึงดูดครูดี – ครูเก่งให้เป็นครูอาชีพตลอดชีพ
ข. พัฒนาครู/อาจารย์ปัจจุบันที่มีศักยภาพให้มีคุณภาพดีขึ้นและต้องการจะเป็นครู/อาจารย์ต่อไป
ค. ผลิตครู/อาจารย์แนวใหม่ที่มี่คุณภาพสูง
เป้าหมายการดำเนินงานในระยะ ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๕) สปค. ดำเนินงานในลักษณะโครงการนำร่อง โดยเน้นการพัฒนาครูอาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษาของภาครัฐและเอกชนในระดับมัธยมศึกษา สปค. ได้ดำเนินการศึกษาค้นคว้า แสวงหาแนวทางและนวัตกรรมเพื่อให้ยุทธศาสตร์ เป้าหมาย และแนวทางทั้ง ๕ ประเด็นหลักของแผนการปฏิรูปการฝึกหัดครูทีความชัดเจน โครงการสำคัญที่ สปค. ได้ดำเนินการนำร่องในปี ๒๕๔๑ สรุปได้ดังนี้
๑.โครงการครูแห่งชาติเป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมวิชาชีพครูให้มีเกียรติและเป็นที่นิยมในสังคม ด้วยการยกย่องเชิดชูครูผู้มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น และสนับสนุนให้ครูดีครูเก่งได้สร้างผลงานที่มี่คุณภาพเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ
๒.โครงการคูปองวิชาการ เป็นโครงการที่มุ่งให้ครูทุกคนมีโอกาสพัฒนาความรู้ และเทคนิคการสอนอย่างต่อเนื่องและทุกปี
๓.โครงการปฏิรูประบบการฝึกหัดครูในรูปแบบที่หลากหลาย เป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาระบบการฝึกหัดครูให้มีคุณภาพและมีความหลากหลาย เพื่อผลิตครู/อาจารย์แนวใหม่
๔.โครงการจัดระดับคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน เพื่อจัดระดับคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั่วประเทศ ใน ๔ สาขาวิชาหลัก ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
๕.โครงการอาสาเยี่ยมสถานศึกษา เพื่อเปิดโลกทัศน์และเสริมสร้างบรรยากาศการพัฒนาระบบบริหารจัดการภายในสถานศึกษา ด้วยการให้บุคคลชั้นนำจากหลากหลายอาชีพเยี่ยมสถานศึกษา
ซึ่งโครงการทั้ง ๕ โครงการเมื่อเชื่อมโยงสู่บันไดวิชาชีพครูจะสัมพันธ์กันดังนี้
บันไดขั้นที่ ๑ปฏิรูประบบการฝึกหัดครูในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบการฝึกหัดครูให้มีคุณภาพและมีความหลากหลายเพื่อผลิตครู/อาจารย์แนวใหม่
บันไดขั้นที่ ๒ ครูแนวใหม่ คือ ครูประจำการที่มีอายุราชการ ๑-๓ ปี ที่มีคุณสมบัติกับครูแนวใหม่ จะได้รับการสนับสนุนให้ทำงานพัฒนาวิชาชีพครูของตนเอง
บันไดขั้นที่ ๓ คูปองวิชาการ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ครูได้รับการพัฒนาความรู้ทางวิชาการอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตการเป็นครู
บันไดขั้นที่ ๔ ครูแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมวิชาชีพครูให้มีเกียรติและเป็นที่นิยมสูงสุดในสังคม
บันไดขั้นที่ ๕ ราชวิทยาลัยครุศาสตร์ เป็นชุมชนทางวิชาการที่สร้างคุณค่า วางมาตรฐาน ส่งเสริมองค์ความรู้ทางการศึกษา ตลอดจนศักดิ์ศรีและศรัทธาของวิชาชีพครู
นอกจากนี้ มีโครงการที่ส่งเสริมพัฒนาครูและผู้บริหารการศึกษา คือ การจัดระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน เพื่อครูและผู้บริหารได้ทราบถึงระดับของโรงเรียนโดยเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นและโครงการอาสาเยี่ยมสถานศึกษา เพื่อดึงบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสถานศึกษาและการเรียนการสอนต่อไป
ที่ผ่านมา สปค. ประสบปัญหาด้านความร่วมมือจากผู้ปฏิบัติพอสมควร สปค. เป็นหน่วยงานที่คิดแนวนโยบายและให้การสนับสนุนด้านนวัตกรรมและทรัพยากร เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำการนำแนวคิดไปปฏิบัติ ซึ่งยังไม่ได้รับความร่วมมือในการนำแนวคิดดังกล่าวจากหน่วยปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความพยายามในการแก้ปัญหาวิชาชีพครุ โดยกำหนดไว้ทั้งแนวนโยบายของรัฐบาลกำหนดไว้ในแผนงานสำคัญระดับชาติ ทั้งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ และแผนพัฒนาการศึกษาทุกฉบับ รวมทั้งกำหนดเป็นพระราชบัญญัติเพื่อจัดตั้งองค์กรที่ดูแลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการของครูและพระราบัญญัติเพื่อจัดตั้งองค์กรที่ดูแลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการของครูและพระราชบัญญัติเพื่อการจัดตั้งองค์กรการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู และมีมติคณะรัฐมนตรีเพื่อตั้งหน่วยงานดูแลการปฏิรูปการฝึกหัดครูโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากปัญหาด้านวิชาชีพครูเป็นปัญหาที่ได้รับการสั่งสมมานาน การแก้ปัญหาคงต้องอาศัยระยะเวลาและความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในระดับประเทศ ซึ่งเป็นผู้วางนโยบายและกำหนดทิศทางในการดำเนินงาน ประกอบกับระบบการบริหารทางการศึกษาต้องเอื้อให้ครูและผู้ได้รับผลจากวิชาชีพครูโดยตรง ซึ่งก็คือ ประชากรของประเทศ ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและกำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง (มาตรา ๗๘) ซึ่งจะส่งผลให้ความพยายามในการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและการแก้ไขปัญหาวิชาชีพครูได้ดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง และแก้ไขปัญหาวิชาชีพครูได้ดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิผล

บรรณานุกรม
        ดร.ดิเรก  พรสีมา.  การพัฒนาวิชาชีพครูโรงพิมพ์และทำปกเจริญผล กรุงเทพฯ. 
        สภาพปัจจุบันและปัญหาวิชาชีพครู. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :  wwweduc105.wordpress.com/สภาพปัจจุบันและปัญหาวิชาชีพครู (26 มกราคม 2556).



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

MCI 401 การวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักสูตรและการสอน

 MCI 401 การออกแบบและการประเมินผลหลักสูตร  3(2-2-5) (Curriculum Design and Evaluation)  การอภิปรายทฤษฎีหลักสูตร หลักการ และแนวคิดในการออก...